“แป๊บนึง ใกล้ถึงแล้ว”
“ขออีก 5 นาทีจะถึงแล้ว”
“แค่นี้ก่อนนะ แบตฯ จะหมด”
เราทุ กคนต่างเคยเอ่ยคำโกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ในชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าจะเป็นการพูดเพื่อรั กษาความสัมพันธ์
(เช่น อ้างว่า ‘ไม่ว่าง’ ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วไม่อย ากไป) พูดไปเพราะความหวังดี
(เช่น บอกเพื่อนที่อบขนมมาให้ว่า ‘อร่อยมาก’ ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วไม่อร่อยเลย)
หรือพูดไปเพราะเราโกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ จนชิน
แน่นอนว่าการโกหกถือเป็นการกระทำที่ทำให้อีกฝ่ายเสี ยความรู้สึก
และหลาย ๆ คนอาจจะรับไม่ได้ถ้าต้องเผชิญกับเรื่องนี้ในความสัมพันธ์
แต่การโกหกในเรื่อง ‘เล็กน้อย’ หรือ การโกหกเพื่อ ‘ถนอมน้ำใจ’ (White Lies)
ก็ดู ‘เหมือนจะ’ ไม่ร้ ายแรงและให้อภั ยได้มากกว่า
เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?
จริง ๆ แล้วคำโกหกสีขาวนั้นส่งผลเสี ยมากกว่าที่เราคิดเสี ยอีก
ทั้งต่อ ‘สม อง’ ของเราเองและ ‘จิตใจ’ ของคนใกล้ตัว
ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เราเสี ยใจในตอนท้าย
มาดู 3 เหตุผลที่ชวนให้เราฉุกคิดได้ว่าการเลิกโกหกนั้นดีกว่าเป็นไหน ๆ
1. เราอาจกลายเป็นคนขี้โกหกโดยไม่รู้ตัว
เวลาที่เราพูดโกหก สม องส่วนที่รับรู้ความทรงจำด้านอ ารมณ์ (Amygdala)
จะถูกกระตุ้นให้เรารู้สึก ‘ไม่สบายใจ’ ขึ้นมา อย่ างไรก็ตาม นักวิจัยด้านวิทย าศาสตร์และสม องเผยว่า
หากเราโกหกเป็นประจำ สม องของเราจะเคยชินและ ‘เลิกรู้สึกผิด’ ไปโดยปริย าย
เรากลายเป็นคนที่ขี้โกหกเป็นนิสัย และโกหกได้ตั้งแต่เรื่องขี้ปะติ๋วจนถึงเรื่องใหญ่
เป็นเพราะว่าการโกหกเป็นเรื่องง่ายสำหรับเราไปแล้วถ้าเราไม่อย ากกลายเป็นคนไม่ซื่อสัตย์
ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการพูดเท็จ เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร คำโกหกก็ยังคงเป็นคำโกหกอยู่วันยันค่ำ
ดังนั้นอย่ าทำให้การโกหกเป็นเรื่องปกติสำหรับเราเลยจะดีกว่า
2. เราเห็นอกเห็นใจผู้อื่นน้อยลง
งานวิจัยหนึ่งศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างด้านความรู้สึกและการโกหก
กับผู้ทดลองมากกว่า 2,500 คน ผลพบว่าความสามารถในการ ‘เข้าใจความรู้สึก’ ต่อผู้อื่นถดถอยลง
ในกลุ่มคนที่พูดโกหกเป็นประจำแน่นอนว่าความสามารถในการอ่ านอ ารมณ์และภาษากาย
เป็นเรื่องสำคัญเมื่อต้องเข้าสังคม หากเรารับรู้ถึงความรู้สึกของผู้อื่นได้น้อยลง
เราอาจเผลอทำเรื่องแ ย่ ๆ หลายอย่ าง เช่น พูดจารุ นแรง พูดจาให้คนอื่นอับอาย
หรือไม่ก็พูดโกหกจนสร้างความเดื อดร้อนให้คนอื่นยิ่งเราตระหนักไม่ได้ว่า
การกระทำของเรากำลังสร้างความเสี ยหาย เรายิ่งเสี่ ยงต่อการเผลอกระทำอะไรบางอย่ าง
ที่ผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม ซึ่งในกรณีนี้จะเป็นอั นตรายต่อทั้งผู้อื่นและตัวเราเอง
3. ทำร้ ายคนสำคัญทางอ้อม
หลาย ๆ ครั้งที่เราเลือกโกหกเพื่อถนอมน้ำใจ ก็เพราะว่าเราเป็นห่วงความรู้สึกของคนที่เรารัก
อย่ างไรก็ตาม ผลลัพธ์อาจออกมาตรงกันข้าม หากคนคนนั้นรู้ในภายหลังว่า
คำพูดของเราเป็นเพียงแค่คำลวงหลอกเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจนอกจากนั้น
การไม่พูดความจริงยังส่งเสริมให้คนเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
ส่งผลให้ไม่มีการพัฒนาให้ถูกต้องหรือแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นในงานวิจัยงานหนึ่ง
พบว่าเจ้านายมักจะให้ Feedback ผลการทำงานต่อพนักงานหญิงอย่ างอ้อม ๆ ไม่พูดตามตรง
เพราะกลัวพนักงานเสี ยความรู้สึก ขณะเดียวกัน เจ้านายมีแนวโน้มที่จะบอกพนักงานชายตรง ๆ
มากกว่าว่าผลการทำงานของเขาเป็นอย่ างไร การโกหกเพื่อถนอมน้ำใจในกรณีเช่นนี้
ไม่ต่างกับการตัดโอกาสความก้าวหน้าของคนคนหนึ่งเลย
เลิกโกหกอย่ างไรดี
อันดับแรกคือคอยสังเกตตัวเองว่าเวลาที่เราโกหก เรามักจะโกหกเรื่องอะไร กับใคร
เหตุการณ์ประเภทไหนที่กระตุ้นให้เราทำเช่นนั้น และเรารู้สึกกับการกระทำนั้นอย่ างไร
หากเราให้คำตอบต่อคำถามเหล่านี้ได้ เราค่อยหาวิ ธีแก้หลาย ๆ คนพบว่า
“เราโกหกในเวลาที่เราไม่กล้าปฏิเสธ” ตัวอย่ างเช่น เวลาที่เพื่อนชวนออกไปเที่ยว
เราหาข้ออ้างมาบอกว่าเรา ‘ไม่ว่าง’ ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วเราไม่อย ากไป
ในตอนท้ายเราก็มารู้สึกผิดเองเสี ยด้วยซ้ำ ในกรณีนี้เราต้องทำความเข้าใจเสี ยใหม่ว่า
การเลือกเวลาส่วนตัวนั้นไม่ใช่เรื่องผิด เราทุ กคนต้องมีขอบเขตของตัวเองส่วนคนที่พบว่า
“เราโกหกเพราะเราเป็นคนอธิบายไม่เก่งและกลัวว่าคนฟังจะเข้าใจผิด จึงเลือกที่จะไม่อธิบายดีกว่า”
ก็อาจแก้ปัญหานี้ได้โดยการฝึกการสื่อส ารให้ดียิ่งขึ้น และหมั่นฝึกบ่อย ๆ
คำโกหก ‘สีขาว’ ที่เราทำเพื่อรั กษาความสัมพันธ์ สามารถสร้างรอยร้าว
และทำให้โลกของใครบางคนหม่นหมองไปทั้งใบได้ง่าย ๆ
ดังนั้นเราควรคำนึงถึงผลลัพธ์ให้ดีก่อนตัดสินใจพูดอะไร เพราะการโกหกเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
แม้จะฟังดูไม่ร้ ายแรงแต่ก็ก่อให้เกิดผลเสี ยต่อตัวเราเองและผู้อื่นอย่ างคาดไม่ถึง
ขอบคุณที่มา : forlifeth