1. แม้แต่ในคนเดียวกัน ยังมีความสามารถที่หลากหลาย เช่น เป็นหมอ
แต่ก็เล่นดนตรีเก่ง ทำอาหารเก่ง เป็นศิลปินแต่ก็คำนวณเก่งขับรถเก่ง
2. มนุษย์ทุ กคนมีความสามารถในตัวเอง “แต กต่าง” กันไป
เราไม่จำเป็นต้องเก่งเหมือนกันหมด
3. สิ่งที่เราเรียนมาเป็นสิบเป็นร้อย กว่าวิชามันคือ
“การหล่อหลอม” หลายวิชาไม่ได้ สอนเราทางตรงแต่ให้เรา ค่อย ๆ ซึมซับข้อดี
แต่ละอย่ างไปเอง เช่นฝึกความอดทน, ฝึกความประณีต, ฝึกทักษะการเข้าสังคม
ในครั้งหนึ่งที่เราไม่เห็นประโยชน์ว่า จะใช้อะไรได้จริงพอโตขึ้นอีกหน่อย มันก็ต้องมี
บ้างแหละ ที่เรานึกอะไรขึ้นมา
จนต้องไปหาอ่า นปัดฝุ่นตำราอีกครั้ง ทุ กความรู้ ที่เราได้รับไม่เคยสูญเปล่า
แค่เรามองไม่เห็นค่ามันเองลองนึกดูให้ดีสิ!
4. สิ่งที่เรา “เก่ง” ไม่จำเป็นต้องออกมาในรูปแบบวิชาชีพ เช่น หมอ, วิศวกร, พย าบาล
มันอาจเป็นพรสวรรค์ก็ได้ เป็นความรู้อะไรก็ได้ ที่เราเอาจริงกับมัน เช่น
การทำอาหาร, การจัดสวน, การออกแบบ (ไม่อย่ างงั้นเราคงไม่เห็น
นักธุรกิจหน้าใหม่หลายคน ผุดขึ้นเป็นด อกเห็ดหรอก)
5. มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่มนุษย์เราจะต้องวิ่งตามหาสิ่งที่ “ใช่”
ค่อย ๆ เรียนรู้ค่อย ๆ ปรับตัวไป สิ่งที่เรากำลังสนุกในตอนนี้บางทีอาจจะยังไม่ใช่ที่สุด
สิ่งที่เราเก่งในตอนนี้ ในวันข้างหน้า
มันอาจเป็นเพียงแค่ความทรงจำ เพราะอาจมีหลายปัจจัยให้คิดมากขึ้น เช่น จำเป็นต้อง
พับโครงการเรียนต่อเอาไว้เพราะเงิ นไม่พอ จำเป็นต้องทำงาน
หาเงิ นก่อนแล้วค่อย ไปเรียนศิลปะที่เราชอบ…เราต้องดูจังหวะของชีวิตด้วย
(ความจำเป็นของชีวิตแต่ละช่วง)
6. ในรั้วโรงเรียน-มหาวิทย าลัย ต่อให้เราได้เรียนกับอาจารย์ที่เก่งแค่ไหน
ขอบเขตความรู้ มันก็เป็นเพียงความรู้ในรั้วเท่านั้นโลกของวัยผู้ใหญ่ที่โตขึ้น
เรายังต้องรู้เห็นอีกมากเรียนรู้กันอีกย าว ลองผิดลองถูกกันอีกเยอะ
ดังนั้นจะมาฟั นธงว่า เรียนมาสายวิทย์ ต้องทำงานสายวิทย์เรียนสายภาษา ต้องทำงาน
สายภาษา มันก็ไม่ถูกเสมอไป
ขอบคุณที่มา : stand-smiling