1. คำพูดขู่ เช่น “เดี๋ยวจะเอาไปทิ้ง” “เดี๋ยวไม่รักนะ” “อย่ าทำแบบนี้เดี๋ยวตำรวจมาจับหรือผ ีมาหลอก”
การขู่ที่มีเงื่อนไขของการไม่ได้รับความรักหรือการถูกทิ้ง จะทำให้เด็ กไม่มั่นใจในตัวเอง
เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นที่รักของครอบครัวหรือไม่และทำให้เด็ กเกิดความหวาดระแวง
กลายเป็นคนขี้กลัว นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้กับเด็ กอีกด้วยว่า
การได้มาซึ่งความรักจะต้องมีเงื่อนไขเข้ามาเกี่ยวข้อง
ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสี ยความนับถือในตัวเองและผู้อื่นได้การพูดขู่เด็ กโดยไม่มีเหตุผล
จะทำให้เด็ กรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และทำให้เด็ ก
ไม่สามารถใช้ความคิดและเหตุผลในการไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ ได้อย่ างถูกต้อง
ทำให้เกิดความเปร าะบางทางด้านจิตใจ และเมื่อเด็ กเผชิญปัญหา เด็ ก
ก็จะกลัวและไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรพูด
กับลูกด้วยเหตุผลที่สมจริง หรือสอนในสิ่งที่เขาทำได้และควรทำ
ที่สำคัญควรชื่นชมและแสดงความภาคภูมิใจ เมื่อลูก ๆ
สามารถปฏิบัติตัวได้อย่ างถูกต้อง
2. คำสั่งห้ามต่าง ๆ เช่น “ไม่ อย่ า หยุด”
การพูดห้ามเด็ กบ่อย ๆ จะทำให้เด็ กข าดความมั่นใจที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เพราะกลัว
ที่จะทำผิดหรือทำแล้วไม่ถูกใจผู้อื่นทำให้เด็ กไม่กล้าคิดและไม่กล้าทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ
ซึ่งอาจจะทำให้เขาเสี ยโอกาสที่จะเรียนรู้ว่าตัวเองมีความสามารถด้านไหน
ชอบหรือไม่ชอบทำอะไร และทำอะไรได้ดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะพูด 3 คำนี้ไม่ได้เลย
คงต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย
เพราะถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่อั นตรายหรือไม่เหมาะสมก็สามารถพูดได้ที่สำคัญก็คือ
ควรมีการอธิบายให้เด็ กเข้าใจถึงเหตุผลว่าสิ่งนี้ทำไม่ได้เพราะอะไร
หรือถ้าเป็นสถานการณ์ปกติทั่วไป คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถเปลี่ยนคำพูดจากการห้าม
เป็นการบอกสิ่งที่เด็ กควรทำให้ชัดเจน เช่น “เดินจับมือแม่ไปด้วยกันนะคะ หนูจะได้ไม่หลง”
แทนคำว่า “อย่ าวิ่งไปไหนนะ” หรือ “เก็บของใส่กล่องเบา ๆ นะคะ” แทนคำว่า
“อย่ าโยนของแรง ๆ สิ” เป็นต้น
3. พูดเชิงบังคับ เคี่ยวเข็ญ เช่น “ทำไมไม่รับผิดชอบอะไรเลย” “ต้องพย าย ามให้มากกว่านี้สิ” “เทอมนี้เกรดต้องดีกว่านี้นะ”
การใช้คำพูดเชิงบังคับ เคี่ยวเข็ญ ส่งผลคล้ายกับการพูดเปรียบเทียบ นั่นคือ ทำให้เด็ กรู้สึกไม่มีคุณค่า
ไม่กล้าแสดงออกทำให้เด็ กรู้สึกเครียด และกดดันตัวเองจนทำให้กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ าย
ไม่ไว้ใจผู้อื่น หรือมุ่งสู่ความสำเร็จเพียงอย่ างเดียวโดยไม่สนใจคนรอบข้าง
และยังทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ราบรื่น เพราะเด็ กอาจแสดงความก้ าวร้าว รุ นแรง ต่อต้าน
ผู้ปกครองและพย าย ามทำตัวเองให้อยู่ด้านตรงข้ามกับคุณพ่อคุณแม่แนะนำว่าลองเปลี่ยนจาก
การบังคับมาเป็นให้กำลังใจลูกแทนจะดีกว่า
เพราะการให้กำลังใจเป็นการแสดงออกถึงความรักและความห่วงใย เ ด็กเองก็จะรับรู้ได้ถึงความหวังดี
ที่พ่อแม่มีให้ซึ่งจะช่วยให้เด็ กมีความมุ่งมั่นและมั่นใจที่จะทำสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น และยังเป็นการเสริมสร้าง
ความสัมพันธ์ในครอบครัวให้ดีขึ้นด้วย
4. พูดเปรียบเทียบหรือประชดประชัน เช่น “ไม่เห็นน่ารักเหมือนน้องคนนั้นเลย” “ดูสิ ลูกคนอื่นเขายังทำได้เลย”
การที่คุณพ่อคุณแม่ใช้คำพูดในลักษณะนี้ เพราะอย ากผลักดันให้ลูกเกิดความพย าย ามในการทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น
หรือเพื่อให้ลูกพัฒนาตัวเองมากขึ้น แต่รู้มั้ยว่าคำพูดเหล่านี้กลับกลายเป็นการทำร้ ายจิตใจและทำให้เด็ ก
รู้สึกว่าตัวเองด้ อยค่า
ไม่มีความสามารถ ไม่เก่งหรือไม่ดีพอเท่ากับเด็ กคนอื่น กลายเป็นเด็ กที่ไม่กล้าแสดงออก ข าดความมั่นใจ
และอาจทำให้เด็ กมีนิสัยขี้อิ จฉาสร้างความเกลียดชังให้กับคนที่เด็ กโดนเอาไปเปรียบเทียบโดยไม่รู้ตัว
ทำให้เด็ กลุกขึ้นมาต่อต้าน บางคนก็อาจแสดงออกด้วยความก้ าวร้าว รุ นแรง
และพย าย ามทำตัวเองให้อยู่ด้านตรงกันข้ามกับที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรทำความเข้าใจ
ก่อนว่าลูกมีข้อดีอย่ างไรหรือมีความชอบ ความถนัดด้านไหน จากนั้นก็พย าย ามส่งเสริม สนับสนุนในสิ่งที่เขาทำ
และควรแสดงความชื่นชมเพื่อให้เขาเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง
และพัฒนาศักยภาพของตัวเองไปในทางที่ถูกต้อง คุณพ่อคุณอาจจะเล่าว่าเด็ กคนอื่นหรือญาติพี่น้องในวัยเดียวกัน
มีความสามารถหรือมีข้อดีอย่ างไรในขณะเดียวกันก็ต้องบอกให้ลูกมั่นใจว่าตัวเองก็มีส่วนที่ดีหรือส่วนที่สามารถ
พัฒนาให้ดีขึ้นได้เช่นกัน เพื่อให้เด็ กมีความมั่นใจ
และเชื่อว่าคนทุ กคนสามารถพัฒนาได้ ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเก่งเหมือนใคร
แต่เราสามารถเก่งในแบบของเราได้
5. สั่งลูกไม่ให้ร้องไห้
การสั่งห้ามไม่ให้เด็ กร้องไห้ โดยเฉพาะเมื่อผู้ปกครองกำลังมีอ ารมณ์ด้วยแล้ว จะทำให้เด็ กรู้สึกกลัวมากขึ้น
และไม่สามารถหยุดร้อง หรือจัดการกับอ ารมณ์ตัวเองได้ เพราะรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่เข้าใจ
ในสิ่งที่เขากำลังเป็นทุ กข์อยู่สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรจะทำคือ ปล่อยให้เด็ กร้องไห้
เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจก่อน และค่อย ๆ บอกลูกให้เข้าใจว่า เวลาที่เราเสี ยใจ
เราสามารถแสดงออกได้ ซึ่งการร้องไห้ก็ถือเป็นการแสดงออกรูปแบบหนึ่ง
ถ้าลูกหยุดร้องและสงบแล้วเราค่อยมาคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อให้เด็ ก
รู้ว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นห่วง และกำลังช่วยให้เขาเข้าใจและหาวิ ธี
จัดการกับอ ารมณ์ของตัวเอง
6. ตวาดหรือพูดด้วยอ ารมณ์ เมื่อโมโห หรือข าดสติ
การพูดโดยใช้อ ารมณ์เวลาที่โมโหหรือข าดสติ อาจทำให้เด็ กจดจำและนำไปลอกเลียนแบบได้
เพราะเด็ กจะซึมซับและคิดว่าการพูดไม่ดีเป็นสิ่งที่ทำได้ ดังนั้น เวลาที่คุณพ่อคุณแม่โมโห
หรืออ ารมณ์ไม่ดี (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้)ให้ลองหลับตา หายใจเข้าลึก ๆ
หายใจออกย าว ๆ พย าย ามทำจิตใจให้สงบและตั้งสติก่อนแล้ว
ค่อยพูดกับลูกพย าย ามพูดคุยหรืออธิบายด้วยเหตุผลหากเป็นเรื่องที่ต้องการให้เด็ กเข้าใจ
แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆก็เอาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ตรงนั้นก่อน ค่อย ๆ ใช้เวลาปรับอ ารมณ์
เมื่อคิดว่าตัวเองพร้อมก็ค่อยกลับมาพูดกับลูก
7. พูดเข้าข้างเมื่อลูกทำผิด เช่น “ลูกฉันไม่ผิด” “ไหนใครว่าลูกฉัน”
การพูดเช่นนี้เป็นการสร้างนิสัยเอาแต่ใจและไม่ยอมคนให้กับเด็ ก เป็นการตามใจลูกในทางที่ผิด
(หรือที่เรียกว่าพ่อแม่รังแกฉัน)เพราะทำให้เด็ กไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่ วดี
และเมื่อโตขึ้น เด็ กก็จะรับไม่ได้เมื่อถูกต่อว่าหรือตำหนิดังนั้น ถ้าพบว่าลูกทำผิดจริง
อันดับแรกเลยคุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้เด็ กรู้จักขอโ ทษและยอมรับผิด
(ห้ามออกรับแทนลูกเด็ดข าด) และชี้ให้เห็นว่าอะไรถูกหรือผิดอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ
เพราะอะไร และถ้าทำผิดแล้ว จะมีผลอย่ างไรตามมา เพื่อให้เด็ กเข้าใจและปรับปรุงตัวเอง
8. ใช้คำพูดล้อเลียน หรือเลียนแบบคำที่เด็ กพูดไม่ชัด
บางครั้งผู้ใหญ่ก็ไม่ได้คิดว่าคำบางคำเป็นการล้อเลียนเ ด็ก เพราะคิดว่าพูดกันเล่น ๆ สนุก ๆ
และมองว่าเด็ กยังเล็กคงไม่เข้าใจอะไรมาก แต่เมื่อเด็ กโตขึ้น มีสังคมที่กว้างขึ้น
คำพูดเหล่านั้นจะทำให้เด็ กรู้สึกอาย ไม่มั่นใจในตัวเอง
เพราะหวาดกลัวที่จะโดนล้อเลียนจากครอบครัวและผู้อื่น ทำให้เด็ กไม่ชอบในสิ่งที่ตัวเองเป็น
จนอาจกลายเป็นปมในใจของเด็ กได้คุณพ่อคุณแม่จึงควรพย าย ามพูดให้เด็ กเห็นข้อดี
ของตัวเองภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองมีหรือเป็น ชี้ให้เห็นว่าแต่ละคนมีความแต กต่างกัน
และไม่จำเป็นต้องยึดติ ดกับรูปลักษณ์ภายนอกเสมอไป