บางคนคิดว่าการที่หลบแสงแดดรักที่กำลังแผดเ ผาไปอยู่ใต้ร่มเงาของวัดแล้ว
ทำให้ไม่คิดอะไรเพราะไม่มีสิ่งมากระทบเหมือนการที่เราหนีปัญหา
ก็ดูจะมีความจริงอยู่ส่วนหนึ่งค่ะ
เพราะบรรย ากาศในวัดย่อมสงบเย็นช่วยเกื้อกูลจิตเรา มีกำแพงวัดเป็นปราการลด
ความรุ นแรงจากการไหลปะทะเข้ามาของกระแสกิเลสอันเชี่ยวกรากภายนอก
แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม ถ้าจิตเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน
คอยพะวงคว้านหาคล้อยตามภาพในอดีตแม้ย ามเผลอสติเพียงชั่ วพริบตา ก็พร้อม
ที่จะกระเทือนไหวปรุงแต่งไปตามสิ่งที่มากระทบอยู่ตลอดเวลาแล้ว
ทุ กข์ก็บังเกิดขึ้นได้ทุ กแห่งหน
เมื่อทราบว่า จิตเราขา ดกำลังที่จะต้ านทาน ยังมีความอ่อนไหว..อ่อนแอ
ต่อสิ่งกระทบแม้เพียงเล็กน้อยก็พึงป้องกันเหตุอันจะเกิดเ สีย
ปิดช่องทางอันจะทำให้ทุ กข์กำเริบ
สิ่งใดที่พึงเลี่ยงได้ก็หลีกเลี่ยง ไม่จดจ้องมอง ไม่รับรู้รับฟัง เรื่องราวของเขาโดยไม่จำเป็น
ยุติจิตที่สอดส่ายค้นหา ไม่ให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เป็นประตูให้ทุ กข์คืบคลานเข้ามา
ทุ กครั้งที่เผลอไผล ก็รีบดึงสติของตัวเองกลับมา
หายใจเข้าออกแรง ๆ ให้รู้ตัวโดยไว…ถามตัวเองว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ ถ้ารู้สึกว่าจิตฟุ้งซ่าน
เกินระงับ ก็เอนตัวพักบนเก้าอี้ แล้วหลับตาลง ค่อย ๆ ผ่อนคลาย
หายใจเข้าช้า ๆ และผ่อนลมหายใจออก
มีสติรู้อยู่ที่ลมหายใจของเรา รู้ว่าเรากำลังหายใจเข้า-ออก
มีลมผ่ านเข้าออกทางช่องจมูก…สักพักหนึ่งจิตเราก็สงบระงับ เบาสบายขึ้น
จะเห็นว่า เรายังมีลมหายใจ หายใจเองได้อยู่…แม้ไม่มีเขา
ก็ไม่ได้ทำให้ลมหายใจของเราหมดไป
ถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะนำชีวิต อนาคต และความสุขทั้งมวลของเรา
ไปฝากไว้กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นเพียงคนรักในอดีตทำไม
ปัจจุบัน เขาไม่ใช่คนรักของเรา ไม่ใช่สามีของเราแล้ว ไม่ใช่ผู้ที่เราควรไปอาลัยหา…
ก่อนหน้าที่มาจะเป็นสามีเรา เขาก็เป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
ซึ่งครั้งนั้นเราก็มีชีวิตของเราอยู่มาได้ด้วยลมหายใจตัวเอง
และมีชีวิตที่เป็นปกติสุข
ขอบคุณที่มา : getwellsoonxoxo