คำว่า “รบกวนช่วยหน่อย”
การขอความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้ าง จะช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่
และทำให้งานที่ต้องทำร่วมกันประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น
หากรู้สึกว่าต้องการความช่วยเหลือ ก็ต้องเอ่ยปากออกมา
คำว่า “ฉันทำได้”
จงเชื่อมั่นในตัวเอง ขจัดความไม่มั่นใจออกไปด้วยคำ ๆ นี้
เพราะเมื่อพูดมันออกมาแล้วเราก็จะพย าย ามทำมันให้ดีที่สุดจนได้
แค่เชื่อว่าทำได้ เราก็ต้องทำได้ อ่ านตรงนี้เลย
“แค่เชื่อตัวเอง” วิ ธีบริหารความสุขง่าย ๆ ที่ใครก็ทำได้
คำว่า “ไม่เป็นไร”
การยกโ ทษให้คนอื่น ก็คือการสร้างมิตรภาพและการยกเอาความยุ่งย ากใจออกไป
การให้อภั ยใช้ได้กับทุ กคนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้อภั ยแล้ว จะกลับไปเจ็ บ ซ้ำๆ
หากคน ๆ นั้นทำร้ ายเรา เราก็ออกมาอยู่ห่าง ๆให้อภั ย แล้วก็ใช้ชีวิตอีกด้านให้ดีงาม
คำว่า “ขอโ ทษ”
เชื่อไหมว่าพวกเราหลาย ๆ คนมักเขินอายกับคำ ๆ นี้ โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัว
เรามักไม่เอ่ยคำขอโ ทษกับคนในครอบครัว ทั้งที่ความจริงแล้ว คำ ๆ
นี้จะช่วยประสาน รอยร้าวภายในบ้ านได้ด้วยนะ นอกจากนี้เมื่อเราเอ่ยคำว่าขอโ ทษ
ตัวเราก็จะถูกปลดปล่อยจากความรู้สึกผิด รู้สึกไม่สบายใจอีกด้วย
แค่อย่ าพูดขอโ ทษพร่ําเพรื่อเกินไปละ มันจะกลายเป็นดูน่ารำคาญได้
คำว่า “ขอบคุณ”
แน่นอนว่าการพูดจาขอบคุณในทุ ก สถานการณ์จะทำให้ตัวเราเป็นคนน่ารัก น่าคบหา
แล้วมีคนที่ได้รับคำขอบคุณนั้นไป ก็ต้องรู้สึกดี ๆ กับตัวเราด้วย ตัวเขาเองก็จะรู้สึกว่าได้
เป็นผู้ทำในสิ่งดี ๆ ออกไป จึงมีคนกล่าวคำว่า “ขอบคุณ”
คำว่า “ฉันเป็นคนดี”
เรามักได้ยินคำ ๆ นึงบ่อยมากว่า “ไม่ได้เป็นคนดีแต่…” นั่นไม่ถูกต้อง เรากำลังไม่เชื่อ
ในความดีงามในตัวเองคำนี้เราไม่ต้องไปพูดให้ใครฟังหรอก ขอแค่พูดกับตัวเองบ่อย ๆ ว่า
เป็น “ฉันคนดีนะ” จิตใต้สำนึกของเราจะจดจำสิ่งนี้แล้วก็จะปรับปรุง ตัวเองให้เป็นคนดีขึ้นเรื่อย ๆ
เป็นคนดี เราก็จะสร้างปัญหาให้กับตัวเองน้อยลง
คำว่า “คุณเก่งนะเนี่ย”
การชื่นชมผู้อื่นในเรื่องความสามารถ ที่ไม่ใช่เรื่องการประจบประแจง ต้องชื่นชมด้วยความจริงใจ
จะช่วยสร้างมิตรภาพ ช่วยฝึกตัวเรา เองให้ถ่อมตน เป็นที่รักของใคร ๆ อะไรก็จะดีไปหมด
ขอบคุณที่มา : verrysmilejung